Director: Michael Bay Production: Universal Stars: Mark Wahlberg, Isabela Moner, Josh Duhamel
![](https://static.wixstatic.com/media/d89829_0170baa806b948b5bf58126cd6aadff9~mv2_d_2048_2048_s_2.jpg/v1/fill/w_980,h_980,al_c,q_85,usm_0.66_1.00_0.01,enc_auto/d89829_0170baa806b948b5bf58126cd6aadff9~mv2_d_2048_2048_s_2.jpg)
![](https://static.wixstatic.com/media/d89829_0170baa806b948b5bf58126cd6aadff9~mv2_d_2048_2048_s_2.jpg/v1/fill/w_980,h_980,al_c,q_85,usm_0.66_1.00_0.01,enc_auto/d89829_0170baa806b948b5bf58126cd6aadff9~mv2_d_2048_2048_s_2.jpg)
เรื่องย่อ : Transformers: The Last Knight จะโฟกัสไปที่ ออพติมัส ไพรม์ ออโต้บอตส์ที่กำลังกลับไปยังดาวบ้านเกิดอย่าง ดาวไซเบอร์ตรอน และพบว่าดาวของตนเองได้ถูกทำลายลง ซึ่งเขานั้นก็มีส่วนที่ทำให้ดาวถูกทำลายด้วย เพื่อจะทำให้ดาวของเขากลับมาเป็นปกติสุขได้นั้นออพติมัส ไพรม์ ต้องตามหาวัตถุชิ้นหนึ่งที่อยู่บนโลกมนุษย์ และวัตถุที่ว่านั้นก็เกี่ยวโยงไปถึง “เมอร์ลิน” พ่อมดในตำนานสมัยกษัตริย์อาเธอร์ด้วย แต่ออพติมัสพลาดท่า จนถูก”ผู้สร้าง” (คาดว่าน่าจะเป้นพวกควินเทชชั่น เผ่าพันธุ์ผู้ทรงภูมิ จุดกำเนิดทรานฟอร์เมอร์ส ตามฉบับการ์ตูน) ทำให้กลายเป็นศัตรูของเหล่ามนุษย์ไป ดูเหมือนว่าพลังเวทมนตร์มหาศาลที่ เมอร์ลิน ได้รับนั้นมีที่มาจาก ทรานสฟอร์เมอร์ส และพลังนั้นก็สิงสถิตอยู่ในวัตถุชิ้นนั้นนั่นเอง แม้เราจะยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดนัก แต่มีการคาดเดาว่า วัตถุที่ว่านั้นอาจเกี่ยวข้องกับ “ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์” ของกษัตริย์อาเธอร์อีกด้วย แต่ทว่าโลกในปัจจุบัน กลุ่มมนุษย์ได้ตั้งกองกำลังทหารรับจ้างขึ้นมาตามล่าและทำลายเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ ด้วยเทคโนโลยีทั้งหุ่นยนต์และโดรนที่ต่อยอดจากการค้นคว้าซากเหล่าชาวไซเบอร์ตรอนที่ล้มตายในสงครามครั้งก่อนๆ แถมโลกเองก็อยู่ในสภาวะย่ำแย่เต็มทน เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) กลายเป็นบุคคลดวงกุดที่ถูกตามล่าโดยฝ่ายทหารรับจ้าง ในฐานะเป้าหมายสำคัญจากการที่เขาเข้าเป็นพวกกับออโตบ็อต และได้เข้าช่วยเหลืออิซาเบลลา (อิซาเบลา โมเนอร์) จนทำให้เขาต้องเดินทางไปยังอังกฤษ เพื่อสืบหาต้นตอของเรื่องราวทั้งหมด Transformers: The Last Knight จะมีการผูกเอาเรื่องราวของกลุ่มอัศวินโต๊ะกลม และทีมสร้างยังระบุว่า นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจักรกลบนโลกที่กินเวลาสร้างอีกยาวนานหลังจากนี้ไปหลายสิบปี และยังมีเนื้อหาแยกย่อยที่กำลังจะตามมา โดยยึดเอาเค้าโครงเส้นเรื่องนี้เป็นหลัก ซึ่งแม้แต่ตัวของ ไมเคิล เบย์ ก็ออกมายอมรับว่าภาคก่อนหน้าอย่าง Transformers: Age of Extinction ก็ไม่ได้เข้าที่เข้าทางเท่าไหร่ในส่วนของเนื้อหา ที่ต้องปูบทยบาทใหม่ในจักรวาลเดิม รวมไปถึงการหาจุดเชื่อมโยง เหมือนเป็นการหยั่งเสียงมากกว่า แต่เมื่อได้เส้นเรื่องใหม่ การตีความใหม่ ก็ทำให้ไมเคิล เบย์ยืนยันว่าภาคนี้ จะกลับไปสู่ความสนุกอย่างเต็มรูปแบบ อย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงไตรภาคแรก cr: metalbridges.com
ดูมาแล้วเป็นไง :
ถ้าขี้เกียจอ่านเยอะ ก็เลื่อนลงไปย่อหน้าสุดท้ายสรุปได้เลยนะ 😏
ดูจบมาใหม่ๆ:ให้ความรู้สึกการเล่าเรื่องเหมือน National Treasure + Fast & Furious + Mummy เนื้อหามันแน่น เรื่องราวมันไว สลับกลับไปมาปุ๊บปั๊บด้วยความเร็ว พูดก็ไวอีก (บางทีก็อ่านไม่ทัน!!!) นี่ถ้าไม่ได้ดูเรื่องราวมาก่อนก็อาจจะงงไปกว่านี้ ทึ่งกับความสามารถยัดเนื้อหามากมายขนาดนี้ใน
เรื่องของเนื้อหา :กับภาค5 นี้ จำต้องลืมภาพออพติมัสกับบับบั้บบีในภาคก่อนๆออกไป จากเอเลี่ยนจากต่างดาวที่มีความเท่ของการแปลงร่างเป็นรถซุปเปอร์คาร์ รุ่นนั้นรุ่นนี้ แปลงร่างอีกทีเป็นหุ่นยนต์ต่อสู้กันเพื่อพิทักษ์โลก มุมมองแนวนั้นหายไปเลย เพราะตั้งแต่ภาคนี้เป็นต้นไป Transformers จะถูกตีโครงเรื่องใหม่ ให้มุมมองไปแนวประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์ เพื่อปูทางไปสู่แฟรนไชด์ในเรื่องต่อๆไป (หลุดมาว่าเรื่องเดี่ยวเรื่องแรกจะเป็นของ Bubble B)
ไม่แปลกใจที่ต้องใช้เวลาหนังสองชั่วโมงกว่า กับการที่เบย์ดึงเอาผู้เขียนบทนับสิบจากหนังและซีรี่ส์ดังๆหลายเรื่องเช่น Walking Dead and Iron Man มาระดมไอเดียพล๊อตเรื่องนี้ ใช้เวลากว่าสามสัปดาห์จัดโครงเรื่อง ความเป็นมา และอนาคตต่อๆไปของจักรวาล Transformers
ความใหญ่ของพล๊อตถูกโยงไปถึง King Arthur กับพ่อมด Merlin ในสมัยอดีตกาลของมนุษย์ ที่สามารถสร้างเรื่องปาฎิหารย์ได้เพราะพลังของเอเลี่ยนที่แต่สมัยนั้นยังไม่มีวิวัฒนาการเทคโนโลยีจึงถูกมองว่าเป็นเวทย์มนตร์(magic)
จับได้ถึงแตกต่างจากภาคก่อนๆ พลิกแนวออกไปค่อนข้างชัดกับไมเคิลเบย์ที่ภาคนี้ดูจะพยายามเอาความเป็นตัวเองออกไปเพื่อให้กลมกลืนไปกับเนื้องเรื่องที่ซับซ้อนอิงประวัติศาสตร์ครั้งนี้ จนเราไม่ได้เห็นฉากแอคชั่นที่น่าจดจำ รวมถึงฉากโชว์เท่ของเหล่า Super Car และโชว์เซกซี่ของนักแสดงหญิงในภาคนี้เลย
ในส่วนของนักแสดง: คิดถึงไชอา เพราะรู้สึกพี่มาร์ค วอเบริ์กดูจะไม่กลมกลืนไปกับมุกที่มีอยู่ในเรื่องสักเท่าไหร่ พี่แกดูเคร่งขรึม เอาเป็นเอาตายกับความเป็นความอยู่ของ Auto Bots มากกว่าที่จะมาเล่นมุกฮาเชิญยิ้มได้เหมือนไชอา ทั้งๆที่เหล่า auto bots เองก็พยายามส่งมุกอมยิ้มมาให้พี่แกแทบทั้งเรื่องแต่ก็ไม่เป็นผล
นักแสดงนำหญิงและชาย ดูต้องการพยายามยัดเยียดความสำคัญของตัวละครให้มีเข้าไปในตอนจบของสงครามครั้งนี้อย่างจงใจจนเกินไปจนไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของคนดูในจังหวะนั้นเลย เพราะอารมยังไม่ถึง ความรู้สึกยังไม่ได้รับการถูกปูทางให้รู้สึกว้าวว่าสองคนนี้จำเป็นมากแค่ไหน อย่างในภาคก่อนเราได้เห็นสัมพันธ์ของมนุษย์และบั้บเบิ้ลบีค่อยๆสานสัมพันธ์จนกลายเป็นสหายศึกที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจสำคัญ และเป็นมิตรกับหุ่นร่วมโลกตัวอื่นๆด้วย แต่ภาคนี้ความรู้สึกเช่นนั้นกลับถูกทิ้งไป
ในส่วนของ Bot : ชอบการดีไซน์หุ่นในภาคนี้ดูเป็นความหุ่นมากกว่าเดิมให้สอดคล้องกับอารมหนัง เพราะในเมื่ออารมหนังถูกเปลี่ยนไป คาแรคเตอร์ของรายละเอียดต่างๆก็จำต้องถูกเปลียนแปลงไปด้วย สีสันของหุ่นต์แต่ละตัวถูกคุมโทนให้อยู่ในสีเงิน สีอ่อน แม้ออพติมัสและบับเบิ้ลบีเองสีสันน้ำเงิน แดงเขียวเหลืองก็ไม่สดใสน่าเป็นมิตรด้วยเหมือนกับภาคก่อนๆ
แต่กับคาแรคเตอร์หุ่นแบบนี้และเนื้อเรื่องแบบนี้ มันเข้ากันได้ดีกับความยิ่งใหญ่ของหนังที่มีและคที่กำลังจะมาอีก ชอบการตัดสินที่สุดโต่งกับการเปลียนแปลงครั้งนี้ ที่ต้องยอมรับการความไม่ชินของคนดู แล้วปลูกฝังมุมมองเนื้อเรื่องใหม่ๆเข้าไป
ในส่วนของแอคชั่น : ที่ชอบที่สุดคือฉากแรกที่ปูเรื่องไปตอนคิงอาเธอร์ คือมังกรสามหัวช่างเหมาะสมกับคนยุดสมัยนั้นจริงๆ ตำนานและหุ่นยนต์มีความเข้ากันดี
Dino Bots ยังมีเสน่ห์ ยังมีความอลังให้พอจดจำได้
และที่สุดคือฉากเปิดตัวของ "The Last Knight" ทรงพลังมาก เออเท่ห์ อันนี้ยอมรับ
แต่อย่างที่เกริ่นไปว่าอะไรต่างๆมันเปลี่ยนไป จุดไคลแมก์ของฉากแอคชั่นในหนังหายไปไหนรึป่าว รู้สึกการต่อสู้จะดำเนินไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด ได้ว้าวบ้างไม่เกิน 1-2%ของหนัง ผิดหวังตรงนี้
เพราะเสพติดฉากแอคชั่นต่อสู้ที่สวยงามของ Transformers จนชินตั้งแต่ภาค1ถึงสี่ อยู่ดีดีจะมาคลายความเข้มข้นลงไป คนติดหนักอย่างฉันก็ลงแดงพอดี
สุดท้าย : ฟาสว่าภาคนี้น่าจะถูกใช้เพื่อเป็นการปูเรื่องราวความยิ่งใหญ่ในรูปแบบใหม่ นักแสดงใหม่ บทใหม่ หรืออาจจะผกก.ใหม่ในภาคต่อๆไปมากกว่า อารมของหนังจึงเปลี่ยนออกไปค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ต้องกลัวหากยังชอบเสพติดความอลังการของพล๊อตมีแน่นอน แต่ความอลังของฉากแอคชั่นที่เคยชินกันคงต้องทำใจ และความฮาความน่ารักของออโต้บอทเองก็จะไม่ได้เสพกันอย่างที่หวัง 6/10 มั่นใจว่าระดับผู้เขียนบทแนวหน้าของโลกรวมตัวกัน บวกฝีมือของไมเคิล เบย์เองภาคต่อๆไปเราคงได้เห็นอะไรๆมากกว่านี้
- Nice to share my life with you - ••••• Mickey Fest •••••
- Nice to share my life with you - ••••• Mickey Fest •••••
Comentários